ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ระบอบการปกครองโลก การเมืองการปกครองเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด  
   

 

                      ประชาธิปไตย ปรากฏขึ้นครั้งแรกในแนวคิดทางการเมืองและทางปรัชญาในกรีซโบราณ ปราชญ์เพลโตเปรียบเทียบประชาธิปไตยซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "การปกครองโดยผู้ถูกปกครอง" ว่าเป็นรูปแบบทางเลือกสำหรับระบอบราชาธิปไตย คณาธิปไตยและเศรษฐยาธิปไตยแม้ถือว่าประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรง แต่เดิมประชาธิปไตยแบบเอเธนส์มีลักษณะเด่นอยู่สองประการ คือ มีการคัดเลือกพลเมืองธรรมดาจำนวนมากเข้าสู่ระบบราชการและศาล และมีการชุมนุมของพลเมืองทุกชนชั้น พลเมืองทุกคนมีสิทธิอภิปรายและลงมติในสภาซึ่งเป็นที่ออกกฎหมายของนครรัฐ ทว่า ความเป็นพลเมืองเอเธนส์นั้นรวมเฉพาะชายทุกคนซึ่งเกิดจากบิดาที่เป็นพลเมือง และผู้ที่กำลัง "รับราชการทหาร" ระหว่างอายุ 18-20 ปีเท่านั้น ซึ่งไม่รวมผู้หญิง ทาส คนต่างชาติ (กรีก: μετοίκος, metoikos) และชายอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ จากจำนวนผู้อยู่อาศัยกว่า 250,000 คน มีผู้ได้รับสถานะพลเมืองเพียง 30,000 คน และมีเพียง 5,000 คนเท่านั้นที่มักปรากฏตัวในสมัชชาประชาชน เจ้าพนักงานและผู้พิพากษาของรัฐบาลจำนวนมากเป็นการกำหนดเลือก มีเพียงเหล่าแม่ทัพและเจ้าพนักงานเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากการเลือกตั้ง อ้างว่าเกาะอาร์วัด (ปัจจุบันคือ ประเทศซีเรีย) ซึ่งชาวฟินิเซียก่อตั้งขึ้นเมื่อสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เป็นตัวอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่พบในโลกซึ่งที่นั่น ประชาชนถืออำนาจอธิปไตยของตน และอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าเป็นไปได้ คือ ประชาธิปไตยยุคเริ่มแรกอาจมาจากนครรัฐสุเมเรียนฝ่ายเวสาลี ซึ่งปัจจุบันคือรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย เป็นรัฐบาลแรก ๆ ของโลกที่มีองค์ประกอบอันพิจารณาได้ว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นแห่งแรกของโลก (แต่มีบางคนโต้แย้งว่าการปกครองของเวลานั้นไม่เป็นราชาธิปไตยก็จริง แต่น่าจะมีลักษณะเป็นคณาธิปไตยมากกว่าประชาธิปไตย)และยังปรากฏว่ามีการปกครองที่คล้ายคลึงกับประชาธิปไตยหรือคณาธิปไตยเกิดขึ้นชั่วคราวโดยชาวเมเดส ช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล แต่ถึงคราวสิ้นสุดเมื่อถึงรัชกาลพระเจ้าดาไรอัสมหาราชแห่งราชวงศ์อาร์เคเมนิด ผู้ทรงประกาศว่า ระบอบราชาธิปไตยที่ดีนั้นย่อมเหนือกว่าระบอบคณาธิปไตยและระบอบประชาธิปไตยทุกรูปแบบ นอกจากนั้น ยังมีการอ้างถึงสถาบันทางประชาธิปไตยในยุคเริ่มแรก โดยถือว่าเป็น "สาธารณรัฐ" อิสระในประเทศอินเดีย อย่างเช่น พระสงฆ์ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล จนถึง คริสต์ศตวรรษที่ 4 แต่หลักฐานที่พบนั้นเลื่อนลอยและไม่สามารถหาแหล่งอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้แน่ชัด นอกจากนั้น ไดโอโดรุส ปราชญ์ชาวกรีกในรัชกาลพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กล่าวถึงรัฐอิสระซึ่งปกครองระบอบประชาธิปไตยในอินเดียแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยใหม่กล่าวว่า คำว่า ประชาธิปไตย ในสมัยศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลถูกลดความน่าเชื่อถือ


ที่มา :https://www.matichonweekly.com/special-report/article_181411

                     อาจหมายถึงรัฐอิสระซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองของประชาชนเลยแม้แต่น้อย ภาพวาดของสภาซีเนตโรมัน อันเป็นองค์กรทางการเมืองที่สำคัญในสมัยสาธารณรัฐโรมัน แม้ในยุคสาธารณรัฐโรมันจะมีการสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น การออกกฎหมาย ทว่าก็มิได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ชาวโรมันเลือกผู้แทนตนเข้าสู่สภาก็จริง แต่ไม่รวมถึงสตรี ทาสและคนต่างด้าวจำนวนมหาศาล และยังมอบน้ำหนักให้กับเหล่าเศรษฐีและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งการเป็นสมาชิกวุฒิสภามักมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยจำนวนน้อยเท่านั้น ยุคกลาง ในยุคกลางมีหลายรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือสมัชชา แม้ว่าบ่อยครั้งจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเพียงส่วนน้อย อย่างเช่น เครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในนครรัฐเวนิซ ช่วงอิตาลียุคกลาง รัฐในไทรอลเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ รวมไปถึงนครพ่อค้าอิสระซะไกในญี่ปุ่นสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากการปกครองรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นประชาชนมีส่วนร่วมเพียงส่วนน้อย จึงมักถูกจัดเป็นคณาธิปไตยมากกว่า และดินแดนทวีปยุโรปสมัยนั้นยังปกครองภายใต้นักบวชและขุนนางในยุคเจ้าขุนมูลนายเป็นส่วนมาก รูปแบบการปกครองซึ่งใกล้เคียงกับลักษณะประชาธิปไตยสมัยใหม่ยิ่งขึ้นไปอีก คือ ระบบของกลุ่มสาธารณรัฐคอสแซ็คในยูเครนระหว่างคริสต์ศัตวรรษที่ 16-17: คอสแซ็คเฮ็ตมันนาเตและซาโปริเซียน ซิค โดยเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากตำบลต่าง ๆ ของเคานตีเลือกตำแหน่งสูงสุด ซึ่งเรียกว่า "เฮ็ตมัน" (Hetman) แต่ด้วยความที่กลุ่มสาธารณรัฐคอสแซ็คเป็นรัฐทหารเต็มตัว สิทธิของผู้ร่วมในการเลือก "เฮ็ตมัน" จึงมักจำกัดอยู่แต่ผู้รับราชการในกองทหารคอสแซ็คเท่านั้น และต่อมายิ่งจำกัดเป็นเฉพาะนายทหารระดับสูง มหากฎบัตรของอังกฤษ

                     เมื่อปี ค.ศ. 1215 ฝ่ายรัฐสภาอังกฤษมีรากฐานการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาจากมหากฎบัตร รัฐสภาซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งครั้งแรก คือ รัฐสภาของเดอ มงฟอร์ต ใน ค.ศ. 1265 แต่อันที่จริง มีเพียงประชาชนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่แสดงความคิดเห็น โดยรัฐสภาได้รับการคัดเลือกจากประชาชนคิดเป็นน้อยกว่า 3% ใน ค.ศ. 1780และยังเกิดปัญหากับรูปแบบการปกครองดังกล่าว ที่เรียกว่า "เขตเลือกตั้งเน่า" (rotten boroughs) โดยอำนาจการจัดตั้งรัฐสภานั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอพระทัยของพระมหากษัตริย์ หลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ใน ค.ศ. 1688 และการบังคับใช้พระราชบัญญัติสิทธิ ใน ค.ศ. 1689 ซึ่งประมวลหลักสิทธิและเพิ่มพูนอิทธิพลของรัฐสภาแล้วสิทธิการเลือกสมาชิกรัฐสภาก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย จนพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเพียงประมุขแต่ในนาม รูปแบบประชาธิปไตยยังปรากฏในระบบชนเผ่า เช่น สหพันธ์ไอระควอย (Iroquois Confederacy) อย่างไรก็ตาม เฉพาะสมาชิกเพศชายของชนเผ่าที่ขึ้นเป็นผู้นำได้ และบ้างยังถูกยกเว้นอีก มีเพียงสตรีที่อาวุโสที่สุดในชนเผ่าเดียวกันเท่านั้นที่สามารถเลือกและถอดถอนหัวหน้าชนเผ่าได้ซึ่งเป็นการกีดกันประชากรจำนวนมาก รายละเอียดที่น่าสนใจกล่าวว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งใช้ความคิดเห็นเอกฉันท์ของเหล่าผู้นำ มิใช่การสนับสนุนของเสียงส่วนใหญ่จากการลงคะแนนเสียงของสมาชิกชนเผ่า ในสังคมระดับกลุ่ม อย่างเช่น บุชแมน ซึ่งแต่ละกลุ่มมักประกอบด้วย 20-50 คน ไม่ค่อยมีหัวหน้าเท่าใดนักและการตัดสินใจต่าง ๆ อาศัยความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่มากกว่า ในเมลานีเซีย เดิมชุมชนหมู่บ้านกสิกรรมมีความเท่าเทียมกัน และมีการปกครองแบบเอกาธิปไตยที่แข็งแรงจำนวนน้อย แม้อาจมีคนใดคนหนึ่งมีอิทธิพลเหนือกว่าผู้อื่นซึ่งอิทธิพลดังกล่าวมีผลต่อการแสดงทักษะความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง และความประสงค์ของชุมชน ทุกคนถูกคาดหวังให้แบ่งปันหน้าที่ในชุมชน และให้สิทธิร่วมการตัดสินใจของชุมชน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอย่างหนักของสังคมกระตุ้นให้เกิดความลงรอยกันและลดการตัดสินใจเพียงลำพัง



ที่มา :https://www.matichonweekly.com/special-report/article_181411



                      คริสต์ศตวรรษที่ 18-19 จำนวนของประเทศระหว่าง ค.ศ. 1800-2003 ซึ่งได้คะแนนเท่ากับหรือมากกว่า 8 โดยชุดข้อมูลรัฐ ซึ่งเป็นเกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง แม้ไม่มีคำจำกัดความของคำว่าประชาธิปไตย แต่เหล่าผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดรากฐานแนวปฏิบัติของอเมริกาเกี่ยวกับอิสรภาพตามธรรมชาติและความเท่าเทียมรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 1788 กำหนดให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่ที่แรกครอบคลุมเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในยุคอาณานิคมก่อนหน้า ค.ศ. 1776 และบางช่วงหลังจากนั้น มีเพียงเหล่าบุรุษเจ้าของที่ดินผิวขาวที่มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่ทาสผิวดำ อิสรชนผิวดำและสตรียังไม่ได้รับอนุญาตให้เลือกตั้ง ในวิทยานิพนธ์เทอร์เนอร์ ประชาธิปไตยกลายเป็นวิถีชีวิต และความเท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ทาสเป็นสถาบันทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิบเอ็ดรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการก่อตั้งองค์การจำนวนมากเพื่อสนับสนุนให้คนผิวดำจากสหรัฐอเมริกาไปยังสถานที่อื่นซึ่งพวกเขาจะได้รับอิสรภาพและความเท่าเทียมเพิ่มขึ้น โดยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1820-1830 สมาคมการอพยพอเมริกันส่งคนผิวดำจำนวนมากไปยังไลบีเรีย เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1840 การจำกัดทรัพย์สินทั้งหมดยุติลง และพลเมืองชายผิวขาวเกือบทุกคนสามารถเลือกตั้งได้แล้ว ซึ่งโดยเฉลี่ย มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ระดับรัฐ และระดับชาติระหว่าง 60-80% จากนั้น ระบบการปกครองได้เปลี่ยนจากประชาธิปไตยแบบเจฟเฟอร์สันเป็นประชาธิปไตยแบบแจ็กสันอย่างช้า ๆ เมื่อ ค.ศ. 1860 จำนวนทาสผิวดำในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านคน และเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 1860 ระหว่างการบูรณะสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ทาสชายที่ได้รับการปล่อยเป็นอิสระก็กลายเป็นพลเมืองและมีสิทธิการเลือกตั้งตามกฎหมาย แต่กว่าพวกเขาจะได้รับสิทธิอย่างมั่นคงก็ต้องรอจน ค.ศ. 1965 ใน ค.ศ. 1789 หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส มีการประกาศใช้คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง และแม้มีอายุสั้น แต่บุรุษทุกคนเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1792 ก็นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายในประเทศฝรั่งเศส ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1848 ห้วงหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1848 ประชาธิปไตยเสรียังมีอายุสั้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และหลายประเทศมักอ้างว่าตนให้สิทธิการเลือกตั้งแก่พลเมืองทั้งหมดแล้ว ในอาณานิคมออสเตรเลียเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขณะที่เซาท์ออสเตรเลียเป็นรัฐบาลแห่งแรกของโลกที่ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแก่สตรีในปี ค.ศ. 1861 ส่วนในประเทศนิวซีแลนด์ ได้ให้สิทธิการเลือกตั้งแก่ชาวมาวรีพื้นเมืองใน ค.ศ. 1867 ชายผิวขาวใน ค.ศ. 1876 และผู้หญิงใน ค.ศ. 1893 ซึ่งนับเป็นประเทศแรกที่ให้ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปกับพลเมืองทั้งหมด แม้สตรียังไม่ได้รับอนุญาตให้สมัครรับเลือกตั้งจน ค.ศ. 1919


ที่มา :https://www.matichonweekly.com/special-report/article_181411

                      คริสต์ศตวรรษที่ 20 กราฟแสดงให้เห็นถึงการประเมินจำนวนประเทศที่จัดแบ่งเรียงตามประเทศต่าง ๆ ของฟรีดอมเฮาส์ ระหว่างการสำรวจเมื่อ ค.ศ. 1973-2013: มีเสรีภาพเต็มที่ มีเสรีภาพบางส่วน ไม่มีเสรีภาพ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยจำนวนมาก จนทำให้เกิด "กระแสประชาธิปไตย" ซึ่งประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ของโลก มักเป็นผลจากสงคราม การปฏิวัติ การปลดปล่อยอาณานิคม และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและศาสนา หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย ทำให้เกิดรัฐชาติจำนวนมากในทวีปยุโรปซึ่งส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ระบอบประชาธิปไตยเจริญขึ้น แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้ความเจริญดังกล่าวหยุดชะงัก และประเทศแถบทวีปยุโรป ละตินอเมริกา และทวีปเอเชียเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นเผด็จการมากขึ้น ทำให้เกิดฟาสซิสต์ ในนาซีเยอรมนี อิตาลี สเปนและโปรตุเกส รวมไปถึงรัฐเผด็จการในแถบคาบสมุทรบอลติก คาบสมุทรบอลข่าน บราซิล คิวบาสาธารณรัฐจีนและญี่ปุ่น เป็นต้น ทว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ทำให้เกิดผลกระทบในด้านตรงกันข้ามในยุโรปตะวันตก ความสำเร็จของการสร้างระบอบประชาธิปไตยในเขตยึดครองเยอรมนีของสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส ออสเตรีย อิตาลี และญี่ปุ่นสมัยยึดครอง ซึ่งได้เป็นต้นแบบของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมถึงเขตยึดครองของโซเวียตในเยอรมนีซึ่งถูกบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ตามกลุ่มตะวันออก หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดยังส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยอาณานิคม และประเทศเอกราชใหม่ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ปกครองระบอบประชาธิปไตย และอินเดียกลายมาเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในช่วงหนึ่งทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชาติตะวันตกที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยส่วนใหญ่มีระบบเศรษฐกิจแบบผสม และดำเนินการตามรูปแบบรัฐสวัสดิการ สะท้อนให้เห็นถึความสอดคล้องกันระหว่างราษฎรกับพรรคการเมือง ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เศรษฐกิจทั้งในกลุ่มประเทศตะวันตกและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ต่อมาเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลลดลง เมื่อถึง ค.ศ. 1960 รัฐชาติส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย แม้ประชากรส่วนใหญ่ของโลกยังมีการจัดการเลือกตั้งแบบตบตา และการปกครองในรูปแบบอื่น ๆ อยู่ กระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของรูปแบบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยในหลายรัฐชาติ เริ่มจากสเปน โปรตุเกส ใน ค.ศ. 1974 รวมไปถึงอีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เมื่อถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารเป็นรัฐบาลพลเรือน ตามด้วยประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ระหว่างต้นถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 และเนื่องจากความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงความขัดแย้งภายใน ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย และนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงครามเย็น ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองภายในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกในกลุ่มตะวันออกเดิม นอกเหนือจากนั้น กระแสระบอบประชาธิปไตยได้แพร่ไปถึงทวีปแอฟริกาบางส่วน ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกาใต้ ความพยายามบางประการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองยังพบเห็นอยู่ในอินโดนีเซีย ยูโกสลาเวีย จอร์เจีย ยูเครน เลบานอนและคีร์กีซสถาน จนถึงปัจจุบัน ทั่วโลกมีประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยจำนวน 123 ประเทศ (ค.ศ. 2007) และกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆซึ่งมีการคาดเดากันว่า กระแสดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยจะกลายเป็นมาตรฐานสากลสำหรับสังคมมนุษยชาติ สมมุติฐานดังกล่าวเป็นหัวใจหลักของทฤษฎี "จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์" โดยฟรานซิส ฟุกุยะมะ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นการวิพากษ์วิจารณ์บรรดาผู้ที่เกรงกลัวว่าจะมีวิวัฒนาการของประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างมากไปยังยุคหลังประชาธิปไตย และผู้ที่ชี้ให้เห็นประชาธิปไตยเสรี

ความเป็นมาของ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”


ที่มา :https://www.matichonweekly.com/special-report/article_181411

                      ในฐานะอุดมการณ์ราชการ ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในบางนครรัฐกรีกโบราณช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเอเธนส์หลังการก่อการกำเริบเมื่อ 508 ปีก่อนคริสตกาล ประชาธิปไตยแบบนี้เรียกว่า ประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งพลเมืองเกี่ยวข้องในกระบวนการทางการเมืองโดยตรง แต่ประชาธิปไตยในปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยสาธารณะออกเสียงในการเลือกตั้งและเลือกนักการเมืองเป็นผู้แทนตนในรัฐสภา จากนั้น สมาชิกสภาจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยเสียงข้างมาก ประชาธิปไตยทางตรงยังมีอยู่ในระดับท้องถิ่นหลายประเทศ เช่น การเลือกตั้งสมาชิกเทศบาล อย่างไรก็ดี ในระดับชาติ ความเป็นประชาธิปไตยทางตรงมีเพียงการลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมายและการถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง แม้ในปัจจุบัน ประชาธิปไตยจะยังไม่มีนิยามที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันก็ตาม แต่มีการระบุว่าความเสมอภาคและอิสรภาพเป็นคุณลักษณะสำคัญของประชาธิปไตยนับแต่โบราณกาล

                       หลักการดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านความเสมอภาคทางกฎหมายของพลเมืองทุกคน และสิทธิเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายโดยเท่าเทียม ตัวอย่างเช่น ในประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ทุกเสียงมีน้ำหนักเท่ากันทั้งสิ้น และไม่มีการจำกัดอย่างไร้เหตุผลใช้บังคับกับทุกคนที่ปรารถนาเป็นผู้แทน ส่วนอิสรภาพได้มาจากสิทธิและเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งโดยทั่วไปได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ

                      รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๑ ที่ชี้นำโดยความคิด “ประชาธิปไตยแบบไทย” ของประเสริฐ ประกาศว่า “ตาม วิวัฒนาการ ปรากฏว่า ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของปวงชนชาวไทยเป็นการถาวรมั่นคงตลอดมา ข้อที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แก่สัมพันธภาพระหว่างรัฐสภากับคณะรัฐมนตรี และรูปของรัฐสภาเป็นสำคัญ ถ้าอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารอยู่ในฐานะที่เข้ากันและสมดุลกันตามควร แล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่ในเสถียรภาพตามที่ต้องการ”(ขอให้สังเกตความเหมือนกันอย่างยิ่งยวด ระหว่างข้อความนี้กับข้อเสนอ “ปฏิรูปการเมือง” ของนักวิชาการบางคนในปัจจุบัน) แม้รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๑ จะยังใช้ข้อความว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” แต่ความหมายที่ว่า นี่คือระบอบการปกครองเฉพาะ ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยธรรมดาๆ เป็นที่ชัดเจน หลัง จากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๑๑ มีรัฐธรรมนูญอีก ๔ ฉบับก่อนที่จะถึงรัฐธรรมนูญ ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นฉบับที่มีความถาวรรองลงมาจากฉบับ ๒๔๗๕ ในจำนวน ๔ ฉบับนี้ ฉบับปี ๒๕๑๕ และ ๒๕๒๐ มีลักษณะชั่วคราวหลังการรัฐประหาร ส่วนรัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นผลจากกรณี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ถูกเขียนขึ้นโดยอาศัยรัฐธรรมนูญ ๒๔๙๒ เป็นต้นแบบ อาจกล่าวได้ว่า ความปั่นป่วนในทางการเมืองของทศวรรษ ๒๕๑๐ พลอยทำให้อุดมการณ์ราชการอยู่ในสภาพปั่นป่วนสับสนและเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา


ที่มา :https://www.matichonweekly.com/special-report/article_181411

                       หลังการยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่น่าสังเกตอย่างยิ่งก็คือ ขณะที่รัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหารอื่นๆทุกฉบับมีลักษณะของความ “ชั่วคราว” ที่แสดงออกในแง่ละเว้นไม่กล่าวถึงระบอบการปกครองของประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับ “๖ ตุลา” นี้ กลับประกาศยืนยันเรื่องระบอบการปกครองด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นที่สุด “โดยที่ประชาชนทั้งมวลได้แสดงอย่างแจ่มแจ้งประจักษ์และเชื่อมั่นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นระบอบการ ปกครองที่ดีและเหมาะสมสำหรับประเทศไทย ในอันที่จะยังให้เกิดความมั่นคงของชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยทั่วกัน” ใน ขณะที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๑ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๑๙ เป็นสองฉบับแรกที่ยืนยันความชอบธรรมของ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อาจกล่าวได้ว่า หน้าที่ (function) ของการยืนยันต่างกัน ฉบับ ๒๕๑๑ เพื่อต่อต้านการเมืองและพรรคการเมืองสมัยใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น ฉบับ ๒๕๑๙ เพื่อต่อต้านฝ่ายซ้าย เมื่อมองประกอบกัน ก็ทำให้เราเห็นหน้าที่ในเชิงต่อต้าน (negative function) ของอุดมการณ์นี้ทั้งสองประการ (อุดมการณ์ทุกชนิดมีทั้งด้านที่สนับสนุนอะไรบางอย่างและต่อต้านอะไร บางอย่าง) เมื่อมาถึงจุดนี้ อาจกล่าวได้ว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในฐานะที่เป็นอุดมการณ์ราชการ ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นในประเทศไทย เห็นได้จากการที่รัฐธรรมนูญที่ค่อนข้างถาวรที่ตามมาอีก ๒ ฉบับคือ ฉบับ ๒๕๒๑ และ ๒๕๓๔ มีการกล่าวยืนยันในคำปรารภถึง “การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ถึงฉบับละ ๔ ครั้ง ตลอดบทความนี้ ผมได้พยายามจำกัดการอภิปรายให้อยู่ในแง่ของอุดมการณ์ราชการ (official ideology) แต่อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นภาพสะท้อนของระบอบการเมืองที่เป็นจริง (actual political system) บางอย่าง ถ้าเช่นนั้น อะไรคือ “ระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในแง่ระบอบการเมืองจริงๆนี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตเกินกว่าจะอภิปรายกันในที่นี้ได้

 
 
เว็บไซต์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา โครงการ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี คุณครูที่ปรึกษา นางสุดฤดี ประทุมชาติ ปีการศึกษา 2563